ถึงแม้เราจะไม่ค่อยได้พูดถึง Digital Asset มากนัก แต่ความจริงคือเราเริ่มรู้จัก และอยู่ในตลาดนี้มาตั้งแต่ก่อนฟองสบู่คริปโตแตกรอบปี 2017-2018 ซึ่งหากจะให้พูดถึงความรู้สึกที่มาต่อตลาดนี้แบบสั้นๆ 3 คำ ก็คงจะพูดได้ว่า ตลาดนี้เป็นตลาดที่
‘น่าตื่นเต้นมาก’
ความน่าตื่นเต้นของตลาดนี้ไม่ใช่เฉพาะเพียงแค่ธรรมชาติของตลาดที่เล็กและใหม่ ทำให้มีความผันผวนที่สูงเท่านั้น แต่ยังน่าตื่นเต้นในเชิงความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาใหม่ไม่หยุด แน่นอน ด้วยความที่มันเกิดใหม่มาไม่หยุด และเม็ดเงินในเชิงการเก็งกำไรในตลาดนี้มีสูง ทำให้เกิดสภาวะของใหม่ที่เป็นของจริงบ้าง ของใหม่ที่เป็นของปลอมบ้าง รวมไปถึง ของใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม รู้แค่ว่าวันนี้มันยังไม่ออกจากตลาด
ซึ่งต้องบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาของตลาดที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรม ยิ่งเป็นนวัตกรรมที่ใหม่เท่าไหร่ ยิ่งมีความเสี่ยงมากเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะตลาดคริปโตที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ‘Blockchain’ แต่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโดยธรรมชาติ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายๆ อย่างเช่นสิ่งที่เกิดตอนช่วง dotcom bubble หรือฟองสบู่อินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในช่วงนี้ ที่หลายๆ บริษัทเทคโนโลยีได้รับผลกระทบจนต้องปลดพนักงานออก ยังไม่นับบริษัทเทคโนโลยีที่ทำนวัตกรรมใหม่มากๆ และมีขนาดเล็กอีกจำนวนมาก ที่ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากเงินของเหล่า VC (Venture Capital – กองทุนที่ลงทุนในบริษัทนวัตกรรม)
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า โดยธรรมชาติของอุตสาหกรรมที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะผันผวนสูงและความเสี่ยงสูงเสมอ เพราะในช่วงแรก นวัตกรรมต้องถูกเปลี่ยนไปสู่การเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการ จากนั้นต้องนำออกสู่ตลาด และวัดว่าสินค้าและบริการจากนวัตกรรมนั้นจะได้รับการยอมรับและสร้างรายได้ได้หรือไม่ จากนั้นขยายตลาดออกไปจนกระทั่งรายได้ที่เกิดจากการขายสินค้าและบริการสามารถเลี้ยงบริษัทได้อย่างมั่นคง ซึ่งในระหว่างที่บริษัทยังไม่มั่นคง ไม่มีเงินที่ไหลเข้ามาในบริษัทจากการขายสินค้าและบริการ บริษัทจำเป็นต้องหาวิธีต่างๆ เพื่อให้ได้เงินทุน และคนที่ให้เงินทุน จะรายเล็กก็ดี รายใหญ่ก็ตาม ต้องรับความเสี่ยงในช่วงที่บริษัทยังไม่มั่นคง และได้รับผลกำไรในวันที่บริษัทเติบโตไปสู่ความมั่นคง ในทางกลับกัน ผู้ให้เงินทุนก็ต้องรับความเสี่ยงในกรณีที่บริษัทไม่อาจเติบโตไปสู่ความมั่นคงได้เช่นเดียวกัน
และธรรมชาตินี้ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ก็นำมาใช้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อคเชนเช่นเดียวกัน หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า ‘ตลาดคริปโต’ อันมาจากคำว่า ‘คริปโตเคอร์เรนซี่’ (Cryptocurrency) นั่นเอง
ในมุมมองของการลงทุนทั่วไป สิ่งใดก็ตาม ที่เมื่อเวลาผ่านไปจะเติบโต และก่อให้เกิดคุณค่า มูลค่าใหม่ๆ ต่อมนุษยชาติ ต่อโลกใบนี้ ย่อมหมายความว่า เมื่อเวลาผ่านไป ราคาของสิ่งนั้นๆ ก็จะสูงขึ้นไปด้วย ด้วยเหตุผลในเรื่องของ ความต้องการ (Demand) และจำนวนผู้เล่นที่มากขึ้น เพราะต้องการเข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นๆ เพื่อนำมาต่อยอดและสร้างคุณค่าใหม่ๆ หรือแม้แต่เพื่อได้รับประโยชน์จากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นเพราะความสามารถในการสร้างสรรค์มูลค่าใหมส่งผลต่อการเจริญเติบโตที่สูงขึ้น (Network Effect) ซึ่งทั้งเรื่องของความต้องการและเรื่องจำนวนผู้เล่นที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้น ต่างก็เกี่ยวข้องกันทั้งสิ้น ซึ่งในเคสของ Digital Asset มีปัจจัยที่ทำให้สามารถเชื่อได้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป มันจะเติบโตขึ้นผ่าน Demand และ Network Effect ดังนี้
- พฤติกรรมของ Generation ใหม่ๆ ที่แตกต่างจาก Generation เก่าๆ
เรื่องหนึ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธอย่างแน่นอน คือพฤติกรรมของเด็กรุ่นใหม่ที่จะแตกต่างไปจากคนรุ่นเก่าในเรื่องของความสามารถใช้ และปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้รวดเร็วง่ายดาย รวมไปถึงมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มากกว่าคนเจนเก่าๆ ด้วย ไม่ว่ามันจะเป็นเหตุผลเรื่องความสะดวก ความง่าย หรือแม้แต่เหตุผลบนสังคมที่คนรุ่นเดียวกันให้คุณค่ากับเทคโนโลยี ทั้งหมดสามารถเป็นเหตุผลที่จะทำให้คนรุ่นใหม่มีความต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีได้ทั้งนั้น และยิ่งคนรุ่นเดียวกันเติบโต มีความคิดเห็นมุมมองที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของเทคโนโลยีเท่าไหร่ แนวโน้มของคนที่จะเดินเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ จะเป็นนักสร้าง นักใช้ หรือนักลงทุนก็ดี ล้วนแล้วแต่มีแนวโน้มที่สูงขึ้นทั้งสิ้น ดังนั้น ยิ่งเวลาผ่านไป คนกลุ่มนี้จะมีเพิ่มขึ้น การพัฒนาจะมากขึ้นซึ่งมีพื้นฐานจากการล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้ประสิทธิภาพของสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อคเชนเพิ่มสูงขึ้น มั่นคงมากขึ้น แข็งแกร่งมากขึ้น ตามกาลเวลาที่ผ่านไป
ดังนั้น บนพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีต่อเทคโนโลยี นี่คือกลุ่มคนที่จะครองโลกในอนาคต การทำความเข้าใจพฤติกรรม รวมไปถึงทัศนคติของคนรุ่นใหม่ จะทำให้เราเห็นภาพการเติบโตของเทคโนโลยีที่สร้าง Digital Asset มากขึ้น
- ธรรมชาติของเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อความสามารถของสินค้าและบริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
แน่นอนว่าธรรมชาติของเทคโนโลยีในช่วงแรกนั้น เต็มไปด้วยความล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จ เพราะความล้มเหลวทำให้สามารถเข้าใจเทคโนโลยีมากขึ้น และนำมาสู่การพัฒนาและปรับปรุงจนกระทั่งเกิดประสิทธิภาพที่มากขึ้นเรื่อยๆ เราจะไม่ปัดเรื่องของความล้มเหลวทิ้ง เราต้องเข้าใจว่าความล้มเหลวเป็นกระบวนการสำคัญในการสร้าง ในเชิงลงทุน คือการเข้าใจว่าในการลงทุนบนเทคโนโลยี แม้โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงมากเกินปกติจะมีความเป็นไปได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีโอกาสที่จะผิดพลาดในการลงทุนอันสืบเนื่องจากความล้มเหลวที่เป็นหนึ่งในกระบวนการสร้างเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ดี เพราะธรรมชาติของนวัตกรรมนั้นสร้างประสิทธิภาพที่สูงขึ้นบนช่วงเวลาที่ยาวนานพอ ทำให้ความต้องการใช้เกิดขึ้น และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งการเกิดของนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพที่มากขึ้นนั้น ย่อมทำให้พฤติกรรมผู้บริโภค หรือผู้คนที่อยู่ในสังคมเปลี่ยนเช่นกัน เรามักจะได้ยินคำว่า ‘disruption’ กันบ่อยๆ มันคือเรื่องเดียวกันกับการเกิดขึ้นของสิ่งที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าที่มาทดแทนสิ่งที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่านั่นเอง
ดังนั้น เมื่อเทคโนโลยีถูกค้นพบและถือกำเนิดขึ้น กระบวนการถัดมาคือการค้นหาและพัฒนา เพื่อทำให้เกิดสิ่งที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าในแต่ละพื้นที่ของการใช้ชีวิต ไปจนถึงการสร้างสรรค์บนงานและอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งในกระบวนการนี้ จะทำให้มูลค่าสิ่งต่างๆ บนโลกนี้เปลี่ยนไป อะไรที่ไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไปจะมีมูลค่าที่ลดลง และอะไรที่มีมูลค่ามากขึ้นจะมาแทนที่และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
เทคโนโลยีบล็อคเชนถูกค้นพบและถือกำเนิดขึ้นแล้ว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ในที่สุดมันจะสามารถทดแทนอะไรบ้างสิ่งบางอย่าง หรือลดทอนความสำคัญของสิ่งที่เคยสำคัญในวันนี้ลงไป ทำให้มูลค่าของสิ่งที่เทคโนโลยีนี้ให้กำเนิดสามารถมีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นมหาศาลในอนาคตได้
- การจัดสรรสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุน
วันนี้ แม้เส้นทางของ Digital Asset จะไม่ราบเรียบ มีปัญหาที่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ความอยากยื่นมือมาทาง Digital Asset ของเหล่าสถาบันทางการเงินไม่ได้ลดน้อยลงไป
เราต้องเข้าใจว่าปัญหาของราคาบน Digital Asset ในยามนี้เป็นปัญหาเดียวกันกับปัญหาของหุ้นเทคทั่วโลก นั่นคือปัญหาเกี่ยวกับสภาพคล่องของดอลล่าร์ที่ลดลงอันสืบเนื่องจากนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐกลับทาง จากผ่อนคลาย ไปสู่แข็งกร้าว ซึ่งเมื่อสภาพคล่องลดลงไป เราจึงได้เห็นกลุ่มเทคโนโลยีทยอยถูกเทขาย ยิ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มากๆ ยิ่งถูกเทขายมากกว่าคนอื่น ดังที่เราได้เห็นราคากองทุน Ark Innovation ETF มีหน้าตาที่ไปในทิศทางเดียวกันกับ Bitcoin อย่างเห็นได้ชัด


ดังนั้น ในเมื่อยามนี้ปัญหาอยู่ที่นโยบายของภาครัฐที่ทำให้ราคาของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีปัญหา แปลว่าหากปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงินนี้หมดไป กลุ่มเทคโนโลยีก็สามารถจะฟื้นตัว เข้าสู่วัฏจักรของอุตสาหกรรมรอบใหม่ได้เช่นกัน
เพราะเหตุนี้ สำหรับผู้ที่ลงทุนในตลาดมาอย่างยาวนาน จะมีความเข้าใจและเห็นธรรมชาติของวัฏจักร จะมีความคุ้นเคยกับบริษัท หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นและจบไป ซึ่งการจบไปของบริษัทหรือผลิตภัณฑ์ทางการเงินนั้นไม่ได้ทำให้อุตสาหกรรมนี้จบไป ตรงกันข้าม มันสามารถทำให้อุตสาหกรรมกลับมาเติบโตได้ดีและแข็งแรงขึ้นด้วยซ้ำ เพราะเงินทุนที่เข้าไปลงทุนสามารถลงทุนในที่ๆ ถูกต้องได้มากขึ้นผ่านการเรียนรู้ในหลายกรณีศึกษาที่ล้มเหลว เมื่อเงินทุนสามารถใช้ได้อย่างถูกที่ถูกทางมากขึ้น อุตสาหกรรมก็แข็งแรงมากขึ้นด้วยเช่นกัน การแตกสลายของฟองสบู่อินเตอร์เน็ตในอดีตเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้เราเห็นว่า แม้จะมีหลายบริษัทล้มละลาย แต่อุตสาหกรรมอินเตอร์เน็ตก็เติบโตขึ้น ใหญ่โตขึ้นจนไม่เป็นที่กังขาใดๆ ในวันนี้
เมื่อเทคโนโลยีบล็อคเชนสามารถที่จะเติบโตได้เหมือนกับสมัยอินเตอร์เน็ตที่เติบโตขึ้น ไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยที่สถาบันทางการเงินต่างๆ อยากจะยื่นมือเข้ามามีเอี่ยวในอุตสาหกรรมนี้ และสิ่งที่ง่ายที่สุดคือการเริ่มจัดสรรเงินส่วนหนึ่งเข้ามาลงทุนใน Digital Asset หรือลงทุนในบริษัทที่พัฒนาเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อคเชน ในอนาคต เราก็ยังเห็นแนวโน้มความอยากจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับกลุ่มเทคโนโลยีนี้อย่างไม่เสื่อมคลายของผู้เล่นรายใหญ่ เพียงแต่การมาจะมีทั้งกลุ่มที่มาแบบเป็นพายุ กับมาแบบค่อยๆ มา ซึ่งถึงแม้สถาบันและ Family office จะชอบการค่อยๆ มามากกว่า มันก็ยังเป็นสภาวะที่เงินอยากจะไหลเข้ามาในกลุ่ม Digital Asset ส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโตทางมูลค่าท่ามกลางเวลาที่ผ่านไป
และนี่คือปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนการเติบโตของกลุ่ม Digital Asset แต่อย่าลืมว่าแม้โอกาสจะสูง แต่ความเสี่ยงก็ยังสูงอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงในเรื่องของการเกิดและดับของ Digital Asset และบริษัทที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรม รวมไปถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวกับกฏควบคุมของรัฐบาลและธนาคารกลางในแต่ละประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง
ดังนั้น การลงทุนใน Digital Asset จึงต้องอาศัยการเรียนรู้ที่สูง ไม่ว่าจะเรียนรู้จากข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต โซเชียล การทดลองใช้สินค้าบริการจริง ไปจนถึงการได้ไปสัมผัสงานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อคเชน ตลาดนี้ยังเป็นตลาดที่ใหม่มาก การเข้าใจพื้นฐานคือเรื่องหนึ่ง สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันอีกอย่างคือการจัดการความเสี่ยงในยามที่เราเข้าไปลงทุนในตลาดค่ะ