หลายคนอาจจะใจชื้นขึ้นไม่น้อย หลังจากที่สถานการณ์การล้มของธนาคาร SVB ไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบในอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร และดูเหมือนการเสริมสภาพคล่องจาก Fed แม้ว่าต้นทุนของสภาพคล่องนี้จะสูงมากก็ตาม จะช่วยให้สถานการณ์ของธนาคารดีขึ้นบ้าง
แต่ความจริงมันดีขึ้นแค่ไหนนั้นไม่มีใครรู้ เพราะแม้ตลาดจะรู้สึกใจเย็นลง หากแต่เมื่อกลับมาดูราคาหุ้นธนาคารที่มีปัญหา ก็ดูเหมือนว่าปัญหานั้นจะยังคงอยู่ ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไหร่นัก

และเมื่อมาดูสภาพคล่องทางการเงินบนเศรษฐกิจที่แท้จริง ก็ดูเหมือนว่าสภาพคล่องนั้นจะอยู่ในขาลง ไม่ใช่ขาขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นดูจะเริงร่าผิดกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา

ยิ่งเมื่อเรามาดูข้อมูลตัวเลขการปล่อยกู้ต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจ เราจะพบว่า แม้ภาครัฐจะให้ความสำคัญกับธนาคารใหญ่มากกว่าจนเงินพากันไหลออกมาจากธนาคารเล็กมาสู่ธนาคารใหญ่ แต่ความจริงแล้ว ธนาคารขนาดเล็ก ที่มีทรัพย์สินต่ำกว่า 250,000 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ก็มีความสำคัญมากต่อเศรษฐกิจสหรัฐเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะภาคประชาชนและภาคธุรกิจขนาดกลางถึงเล็ก เพราะ 60% ของเงินกู้บ้านเพื่ออยู่อาศัย ธนาคารขนาดเล็กเป็นผู้ให้กู้ยืม 80% ของการกู้เงินเพื่อการพาณิชย์ก็เป็นของธนาคารขนาดเล็ก และยังรวมไปถึง 45% ของการกู้ยืมเพื่อการบริโภค ก็เกิดขึ้นบนธนาคารขนาดเล็กเช่นกัน
ดังนั้น จะบอกว่าการการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดนั้น ธนาคารขนาดกลางถึงเล็กมีบทบาทที่จำกัด ก็อาจจะไม่ถูกเสียทีเดียว หากดูจากตัวเลขการให้กู้ยืมด้านบน จะพบว่าตัวเลขการให้กู้ยืมนั้นไม่ใช่น้อยๆ เลย เมื่อคิดจากจำนวนหนี้ภายในประเทศสหรัฐทั้งหมด
รวมไปถึง เมื่อเรามองปัญหาที่แท้จริงของธนาคาร เราจะพบว่าปัญหานั้นไม่ได้ถูกแก้ไขที่ต้นเหตุเลย เพราะปัญหาที่แท้จริงมาจากความผิดปกติของโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยที่เกิด inverted yield curve ซึ่งอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นแพงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เพราะโดยปกติแล้ว โมเดลของธนาคารในยามปกติ จะเป็นการหาผลตอบแทนระยะยาวที่มากกว่า เพื่อมาจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับภาระหนี้ระยะสั้น แต่เมื่อโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนไป ความเสี่ยงของธนาคารจึงเพิ่มขึ้น เพราะธนาคารได้ผลตอบแทนในระยะยาวมาไม่เพียงพอต่อการจ่ายผลตอบแทนให้เจ้าหนี้ระยะสั้น (ผู้ฝากเงิน)
ดังนั้น ธนาคารจึงไม่อาจขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้มาฝากเงินได้ และถูกกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรระยะสั้นอย่าง Money Market Fund (MMF) ที่ได้ผลตอบแทน 3-4% เอาชนะ เงินที่เป็น Excess money หรือ สภาพคล่องส่วนเกิน จึงมีแนวโน้มจะไหลออกจากธนาคารไปยัง MMF มากกว่า
ล่าสุด ความผิดปกติของอัตราดอกเบี้ยในตลาดก็ยังคงแย่ลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 3 เดือน VS 10 ปี ก็ผิดปกติมากขึ้นไปอีก

เพราะเหตุนี้ จึงเป็นไปได้มากกว่า ที่ธนาคาร โดยเฉพาะธนาคารขนาดกลางและเล็ก จะพากันสะสมเงินสดและรัดเข็มขัด มีโอกาสที่จะดึงเครดิตจากลูกค้ากลับมากกว่าจะขยายเครดิตให้ลูกค้า โดยเฉพาะฟากการให้กู้ยืมเงินในเซคเตอร์ที่อ่อนไหว หากธนาคารมีสภาพคล่องที่เหลือเฟือ ธนาคารอาจตัดสินใจให้การช่วยเหลือหากลูกค้ามีสัญญาณของปัญหา แต่ในสภาวะที่ธนาคารต้องการกักเก็บเงินกลับมาเพราะสภาพคล่องที่ลดน้อยและมีราคาแพง เมื่อลูกค้ามีสัญญาณของปัญหา อย่างเช่นอสังหาริมทรัพย์ในภาคพาณิชย์ หรือ Commercial Real Estate (CRE) โอกาสที่ลูกค้าจะของกู้เงินต่ออย่างราบรื่นดูเหมือนจะเป็นแค่ฝัน
และขนาดของหนี้บน Commercial Real Estate ที่ต้อง roll over หรือต้องหาแหล่งเงินใหม่เพื่อทดแทนแหล่งเงินเดิมนั้น ในปี 2023 และ ปี 2024 จะมีขนาดมูลค่าถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ แปลว่าถ้าลูกหนี้ไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนมาซื้อหนี้ใหม่เพื่อทดแทนหนี้เก่าได้ สหรัฐมีโอกาสเผชิญกับ Credit Crisis หรือวิกฤติสินเชื่อที่คล้ายกับช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ได้
เมื่อมองจากปัจจัยทั้งหมดแล้ว เราจะเห็นได้ว่าบน Main Street หรือบนสภาวะเศรษฐกิจรากฐานจริงๆ นั้น สภาพคล่องทางการเงินมีแนวโน้มลดลงมากกว่าจะเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเรามองบน Wall Street หรือมองบนตลาดเงินตลาดทุน เราจะพบว่ากลับมีสภาพคล่องที่เพิ่มสูงขึ้นจากการที่นักลงทุนเลิกเก็บเงิน แล้วเอาเงินมาลงทุนในตลาดเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดคริปโต และทองตำ ต่างก็มีเงินเข้ามาซื้ออย่างต่อเนื่องหลังจากที่ Fed มีการเปิดช่องทางให้ธนาคารมาเอาสภาพคล่องจาก Fed ได้
เราสามารถพูดได้ว่า ตลาดมองข้ามช็อตไปไกลถึงตอนที่ Fed กลับนโยบาย จากนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ย กลายเป็นนโยบายลดอัตราดอกเบี้ย ตลาดพันธบัตรเองก็ดูจะเชื่อมากๆ ว่า Fed จะต้องลดอัตราดอกเบี้ยอย่างแน่นอน
แน่นอน เมื่อเราดูที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจ เราก็จะเห็นถึงความอ่อนแอลงของเศรษฐกิจสหรัฐ ที่จะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ยิ่งถ้าหากเราเชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอย นั่นหมายถึงตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่จะต้องลดลงมาตามที่ Fed ปรารถนา
เพราะเหตุนี้ Wall Street จึงมองข้ามช็อตไปถึงช่วงที่ Fed จะต้องมีการผ่อนคลายนโยบาย ซึ่งอาจจะเป็นปลายปีนี้ หรือแม้แต่ปีหน้าก็ได้ ในขณะที่ฟาก Main Street ก็สามารถจะมีปัญหาเพิ่มขึ้นได้ตลอดเวลาตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ซึ่งยังไม่มีใครสามารถให้เวลาที่ชัดเจนได้ ว่าปัญหาบน Main Street นั้นจะสุกงอมเมื่อไหร่ และจะส่งผลกลับมาถึง Wall Street หรือไม่
ช่วงเวลาตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เป็นช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงสูง หากใครต้องการลงทุนในช่วงนี้ต้องเข้าใจตลาดว่านี่คือช่วงเวลาที่อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ และตลาดมีความอ่อนไหว ตอบสนองต่อข่าวในแต่ละวันอย่างง่ายดาย นี่จึงไม่ใช่ช่วงที่จะลงทุนอย่างง่ายดาย แต่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สามารถเกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงบนนโยบายทางการเงินได้ นี่คือสิ่งที่นักลงทุนในช่วงนี้จะต้องตระหนักมากๆ เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจกับความผันผวนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น